Alien Romulus ในจักรวาลอันเวิ้งว้างที่ไร้ซึ่งความปรานี ดวงดาวโรเมียส-3 นั้นถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มนุษย์รุ่นใหม่แทบไม่อยากเหยียบย่าง แม้จะเป็นอาณานิคมที่ถูกจัดตั้งขึ้นด้วยความหวังสูงสุดของยุคศตวรรษที่ 24 ว่าจะกลายเป็นเมืองหน้าด่านแห่งมนุษยชาติ แต่สภาพแวดล้อมที่โหดร้าย พายุฝุ่นพิษที่พัดไม่หยุด หน้าดินที่ไร้ความอุดมสมบูรณ์จนไม่อาจทำการเพาะปลูกได้ และความล้มเหลวของระบบสนับสนุนชีวิตที่ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หมดหวัง หลายปีมานี้ชาวอาณานิคมต่างคอยเพียงโอกาสในการหลบหนี อพยพออกไปสู่โลกที่ดีขึ้น แต่ยานอาณานิคมจำนวนมากถูกปลดระวาง ขาดอะไหล่ และถูกปล่อยทิ้งให้ผุพังไปตามกาลเวลา
ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้เอง ได้มีการรวมตัวของกลุ่มนักสำรวจรุ่นใหม่ซึ่งเติบโตมาบนดาวที่เต็มไปด้วยความทรุดโทรมและความฝันที่ถูกกดทับยาวนาน พวกเขาประกอบด้วยผู้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวิศวกร นักบิน นักชีววิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ แต่ละคนต่างมีความหวังเพียงอย่างเดียวคือการหลีกหนีจากดาวที่กำลังดับสูญ และเดินทางไปยังดวงดาวอีกดวงที่มีข่าวลือเรื่องท้องฟ้าใสพระอาทิตย์ตกสีทองที่งดงามราวสวรรค์ ความหวังนั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นจริงเมื่อมีข่าวว่ามีสถานีอวกาศถูกทิ้งร้างชื่อว่า “รอมัลลัส สเตชัน” ลอยนิ่งอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของโรเมียส-3 มานานหลายสิบปี ภายในสถานีมีห้องปฏิบัติการ เครื่องมือ และอุปกรณ์สำรวจที่ยังมีโอกาสใช้งานได้ หากสามารถนำชิ้นส่วนสำคัญจากสถานีนั้นกลับมาซ่อมแซมยานพาหนะที่เหลืออยู่ พวกเขาก็จะสามารถออกเดินทางไกลได้จริง
แม้สถานีรอมัลลัสจะมีชื่อเสียงในทางลึกลับและถูกเล่าลือว่าเป็นสถานีที่มีการทดลองต้องห้ามในอดีต แต่ความสิ้นหวังและความเชื่อว่ามันคือโอกาสสุดท้าย ทำให้ทุกคนตัดสินใจรวมทีมและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางออกสู่อวกาศ ซึ่งไม่ใช่เพียงการเสี่ยงภัยอันตรายแต่เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง ทีมสำรวจนำโดยอาเรีย นักสำรวจสาวที่เติบโตมากับความสูญเสีย เห็นคนรอบตัวล้มตายจากสภาพดาวที่เลวร้ายจนเกินเยียวยา เธอจึงมีแรงผลักดันอย่างแรงกล้าในการพาทีมทั้งหมดหลุดพ้นจากโชคชะตาที่กำลังบีบคั้น ภารกิจเริ่มต้นเมื่อพวกเขายกตัวจากพื้นผิวดาวด้วยยานเล็กที่สภาพทรุดโทรมที่สุดเท่าที่ยังบินได้ เครื่องยนต์สั่นระรัวราวกับจะระเบิดได้ทุกวินาที แต่ทุกคนต่างกัดฟันยอมรับ เพราะนี่คือความหวังสุดท้ายที่จะออกจากนรกบนดวงดาว เมื่อยานทะลุชั้นบรรยากาศ ม่านสีแดงส้มของพายุฝุ่นก็หายไป เหลือเพียงความมืดสนิทของอวกาศที่กำลังโอบล้อมพวกเขา สถานีรอมัลลัสปรากฏขึ้นท่ามกลางเงามืด เป็นโครงเหล็กระเกะระกะขนาดมหึมา ลอยนิ่งราวซากศพของยักษ์ที่ตายไปแล้วหลายทศวรรษ ไฟบางดวงยังคุกรุ่นอย่างไร้เหตุผลเหมือนผู้ตายที่กำลังลืมตาข้างหนึ่งค้างไว้
แม้จะเห็นสภาพเช่นนั้น ทีมสำรวจก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อ พวกเขาเทียบท่ายานเข้ากับรุ่นเชื่อมต่อเก่าที่แทบจะเปิดไม่ออก แต่ยังพอใช้งานได้ด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าจากชุดพกพาที่นำมาด้วย หลังประตูเชื่อมต่อเปิดออก สิ่งแรกที่พวกเขารับรู้คือความเงียบงันอันหนาวเหน็บและกลิ่นอับของอากาศที่ไม่ได้ผ่านการไหลเวียนมานานหลายปี ภายในสถานีเต็มไปด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟกะพริบสีฟ้าอ่อน ๆ จากระบบรักษาความปลอดภัยบางส่วนที่ยังไม่ตายสนิท มันเป็นสภาพที่บอกชัดว่าสถานีแห่งนี้ถูกละทิ้งอย่างเร่งรีบและเป็นไปได้ว่ามีเหตุร้ายอะไรบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาเดินลึกเข้าไปในทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยฝุ่นละออง บางส่วนมีรอยไหม้ บางส่วนมีรอยข่วนแปลกประหลาดที่ยาวผิดธรรมชาติ ราวกับมีบางสิ่งพยายามจะฉีกผนังเหล็กจากด้านใน เสียงก้องสะท้อนของรองเท้าแตะพื้นโลหะให้ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ลำพัง แม้สถานีจะไร้ร่องรอยชีวิตโดยสิ้นเชิงก็ตาม
เมื่อไปถึงห้องควบคุมกลาง พวกเขาสามารถเปิดระบบไฟในส่วนหนึ่งของสถานีได้ แสงสลัวจากหลอดไฟเก่า ๆ ทั่วทั้งชั้นเผยให้เห็นสภาพภายในอย่างชัดเจนขึ้น และยิ่งทำให้สถานีนี้ดูน่าขนลุกกว่าที่คิด ผนังหลายจุดมีรอยกร่อนเหมือนถูกกรดกัด โต๊ะทำงานล้มระเนระนาด เอกสารลอยฟุ้งค้างอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงบางส่วนเหมือนถูกทิ้งไว้ชั่วขณะสุดท้ายของความโกลาหล ก่อนจะถูกลืมตลอดกาล แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือร่องรอยเป็นเส้นยาวสีดำมันวาวที่ไหลไปตามพื้น ใกล้เคียงกับของเหลวจากร่างกายสิ่งมีชีวิตแต่ดูหนืดผิดธรรมชาติ มันเกาะติดพื้นราวกับมีชีวิต อาเรียรู้สึกขนลุกซู่ทันทีที่เห็น ความรู้สึกเหมือนมีสายตานับพันคู่กำลังมองมาจากในเงามืดค่อย ๆ กัดกินสติของเธอทีละน้อย
แม้จะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ทีมก็ยังจำเป็นต้องทำภารกิจ นั่นคือการเข้าไปในห้องทดลองหลัก ซึ่งเป็นสถานที่เก็บอุปกรณ์สื่อสารระยะไกลที่พวกเขาต้องการนำกลับไปเพื่อซ่อมยานหลักของอาณานิคม ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูห้องทดลอง กลิ่นคาวฉุนแปลกประหลาดก็พุ่งเข้าใส่ ราวกับกลิ่นผสมกันของเลือด โลหะ และบางอย่างที่เน่าเปื่อยอยู่ในที่อับมานานหลายปี ภายในห้องทดลองมีแท็งก์แก้วกระจายเต็มไปหมด บางส่วนแตก บางส่วนเต็มไปด้วยของเหลวสีเข้ม บ้างมีรอยเหมือนบางสิ่งหลุดออกมาจากด้านในอย่างรุนแรง
ในขณะที่พวกเขากำลังสำรวจอุปกรณ์ต่าง ๆ ไฟของสถานีกะพริบรัวก่อนจะดับไปอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงหึ่งต่ำ ๆ จากระบบพลังงานฉุกเฉิน สถานีกลับคืนสู่ความมืดสนิท โดยมีเพียงไฟฉายของพวกเขาคอยแหวกความมืดออกเป็นลำแสงแคบ ๆ ที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ทันใดนั้นเองชิ้นส่วนของแท็งก์แก้วด้านหลังสุดก็กระดิกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน เป็นเงาดำที่เลื้อยไปมาอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติ อาเรียชี้ให้คนอื่นระวังตัว ทุกคนเงียบงันและไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง เสียงขูดเบา ๆ ดังขึ้นและเงาดำนั้นปีนไต่ขึ้นสู่ด้านบนของกรอบเหล็กอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะเลื้อยเข้าสู่ความมืดเหนือเพดานห้องอย่างเงียบกริบ ราวกับเป็นเงาที่มีชีวิตมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป
ความเงียบปกคลุมห้องทดลองในขณะที่ทุกคนพยายามหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่เห็น แต่ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีคำอธิบายใดทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ พวกเขาตัดสินใจรีบเก็บอุปกรณ์ที่ต้องการให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันเสร็จ เสียงบางอย่างก็ดังสะท้อนเลื่อนลอยมาจากทางเดินด้านนอก เป็นเสียงคล้ายโลหะเสียดสีกันเป็นช่วง ๆ พร้อมเสียงคล้ายกรีดร้องแผ่ว ๆ ทำให้ทุกคนหยุดการทำงานในทันที เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ราวกับบางสิ่งกำลังคลานจากผนังสู่เพดานวนซ้ำไปมาอย่างไร้รูปแบบ การเคลื่อนไหวของมันเร็วเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ และเงาเล็ก ๆ บนเพดานที่ปรากฏเมื่อแสงไฟกะพริบก็ยืนยันได้ว่าพวกเขาไม่ได้จินตนาการ เสี้ยววินาทีนั้นเองที่พวกเขาเข้าใจว่าไม่ใช่แค่สถานีร้างแห่งนี้ที่กำลังหายใจ แต่มีบางสิ่งในสถานีที่กำลังล่า
ทีมพยายามถอยกลับไปยังทางเดินหลัก แต่เมื่อพวกเขาเปิดประตูออกจากห้องทดลอง ก็พบว่าทางเดินที่ควรจะว่างเปล่านั้นกลับมีรอยเมือกสีดำวาวเป็นทางยาวลากผ่านไปทางโซนอยู่อาศัย ร่องรอยคล้ายกรดละลายบนพื้นและผนังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนตัวไปทั่วสถานี เสียงเครื่องระบายอากาศที่เริ่มทำงานเองกะทันหันทำให้ลมเย็นจัดพุ่งผ่านทางเดิน ส่งเอกสารและฝุ่นปลิวฟุ้งไปทั่ว และพวกเขาเริ่มเห็นเงาของบางสิ่งกำลังก้มตัวผ่านช่องระบายอากาศเหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว เสียงครวญต่ำ ๆ ที่เหมือนเสียงจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์กำลังสะกดทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ
แต่ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด พวกเขายังจำเป็นต้องเดินต่อไป ห้องพลังงานอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเมื่อไปถึง พวกเขาก็พบสภาพภายในที่พังยับเยินจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ เครื่องจักรขนาดใหญ่มีรอยถูกกัดกร่อนราวกับโดนกรดพ่นใส่ บางส่วนของพื้นโค้งงอผิดรูปคล้ายถูกกระแทกด้วยพลังมหาศาล และร่องรอยการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของทีมงานเดิมยังปรากฏให้เห็นผ่านชุดอวกาศที่ขาดแหว่งและกระดูกมนุษย์ที่แห้งกรังวางกองอยู่ด้านล่าง อาเรียพยายามเปิดระบบพลังงานสำรองด้วยตนเอง แม้จะเสี่ยง แต่เป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะเปิดทางหลบหนีได้ ในขณะที่เธอทำงาน คนอื่น ๆ เฝ้าระวังรอบตัว แต่ความเงียบงันที่หนักอึ้งกดทับจนทำให้ทุกคนแทบหายใจไม่ออก คล้ายกับว่าสถานีกำลังหยุดหายใจในช่วงเวลาที่รอคอยบางอย่างปรากฏตัว
เมื่อระบบกำลังเริ่มรีบูต เสียงขูดอย่างแรงดังขึ้นจากเหนือเพดานในห้องพลังงาน เงาดำยาวเหยียดพุ่งลงมารวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายสัตว์นักล่าแต่มีผิวมันวาวราวกับโลหะขัดเงาปรากฏตรงกลางห้องอย่างน่าสยดสยอง หัวที่ยืดยาวปราศจากดวงตาทำให้มันดูยิ่งน่ากลัว คล้ายกับมันไม่จำเป็นต้องมองเพื่อรู้ว่ามนุษย์อยู่ตรงไหน มันรับรู้ผ่านความกลัวของเหยื่อ มันเคลื่อนไหวด้วยความเงียบสงัดราวเงามืดมีชีวิต ก่อนจะเสนอกรงเล็บแหลมคมที่สะท้อนแสงเล็กน้อยจากไฟฉุกเฉินที่เพิ่งกลับมาทำงาน เหตุการณ์ต่อจากนี้คือการเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวัง อาเรียและสมาชิกที่เหลือต้องหนีออกจากห้องพลังงานหลังจากผู้ร่วมทีมบางคนถูกสิ่งมีชีวิตนั้นโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนไม่เหลือร่างให้หนีได้แม้แต่เศษเสี้ยว พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังท่าเชื่อมต่อหลักเพื่อกลับไปยังยานของตนเองโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อไปถึง พวกเขาพบว่ายานกำลังถูกสารบางอย่างกัดกร่อนจากภายนอกราวกับมีบางสิ่งรุมเกาะกินมันอยู่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึง
อาเรียแทบจะทรุดลงกับพื้นเมื่อเห็นความหวังเดียวในการหลบหนีถูกทำลาย แต่เธอยังคงตั้งสติและคิดหาทางออก เมื่อระบบไฟของสถานีเริ่มกลับมาบางส่วน เธอพบเส้นทางไปยังห้องควบคุมภารกิจ ซึ่งตามแปลนระบุว่ามียานสำรวจขนาดเล็กติดตั้งสำหรับเหตุฉุกเฉิน แม้จะไม่รู้สภาพปัจจุบันของมัน แต่ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ แม้สิ่งมีชีวิตจากโปรเจกต์โรมูลัสจะตามล่าอย่างไม่ลดละ แต่พวกเขาก็สามารถนำมันไปสู่ส่วนหนึ่งของสถานีที่มีโครงสร้างไม่มั่นคง ทำให้เกิดการถล่มทับร่างของมันชั่วคราว เปิดโอกาสให้พวกเขาวิ่งไปยังห้องควบคุมภารกิจ
ยานสำรวจยังคงอยู่ แม้จะชำรุดแต่ยังพอใช้งานได้ พวกเขารีบเตรียมพร้อมและเริ่มระบบ แต่ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ยานจะปล่อยตัว สิ่งมีชีวิตตัวนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันรอดจากซากเหล็กที่ถล่มทับได้อย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนให้เห็นว่ามันแข็งแกร่งเกินกว่าที่มนุษย์จะหยุดยั้งด้วยวิธีธรรมดาได้ อาเรียใช้พลังงานทั้งหมดของสถานีที่เหลือพ่นออกทางท่อไอเสียด้านล่าง ก่อนสั่งจุดระเบิดฉุกเฉินของสถานีพลังงานส่วนท้าย ทำให้ระเบิดแรงมหาศาลกั้นทางระหว่างพวกเขากับสิ่งมีชีวิตนั้นเพียงเสี้ยววินาที ยานหลุดออกจากสถานีพร้อมแรงกระแทกที่รุนแรงจนทุกคนหมดสติไปชั่วคราว อาเรียมองผ่านกระจกยานไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงอยู่ไกลโพ้น เธอไม่รู้ว่าดาวที่มีพระอาทิตย์ตกงดงามตามที่ใฝ่ฝันนั้นจะมีจริงหรือไม่ แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่หยุดวิ่งตามแสงแห่งความหวัง ก็ยังมีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากความมืดที่คอยไล่ตามอยู่เสมอ
รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง Alien Romulus
สไตล์หนังเรื่อง Alien Romulus เรื่องนี้ยึดโทนไซไฟสยองขวัญแบบ Alien ดั้งเดิมอย่างชัดเจน มีบรรยากาศมืดหม่น อึดอัด เล่นกับเงา ความเงียบ เสียงโลหะ เสียงลมหายใจ และความโดดเดี่ยวในอวกาศ เน้นความไม่รู้และสิ่งมีชีวิตที่มีสัญชาตญาณนักล่าสูงเกินคาดเดา การไล่ล่าแบบปิดล้อมในพื้นที่จำกัด ใช้สถานีอวกาศร้างเป็นทั้งฉากและตัวละครหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเป็นกับดักของความตาย
สรุปรีวิวหนัง Alien Romulus
Alien Romulus เรื่องราวจบลงด้วยความหวังที่ยังไม่แน่นอน แม้จะรอดจากสถานีรอมัลลัส แต่เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่แน่ชัด เป็นตอนจบแบบเปิด เปิดพื้นที่สำหรับภาคต่อ หรือความตีความถึงการดิ้นรนของมนุษย์ที่ยังคงวิ่งจากความกลัวเพื่อไปสู่แสงสว่างที่อาจไม่มีอยู่จริง





